พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดคำฉันท์
มัทนะพาธา
ด้วยคำประพันธ์ประเภทฉันท์และกาพย์ บางตอนใช้กาพย์ยานี
ตอนใดดำเนินเรื่องรวดเร็วก็ใช้ร้อยแก้ว ตอนใดต้องการจังหวะเสียงและเน้นอารมณ์ก็มักใช้ฉันท์ โดยในองค์ที่ ๑ ปรากฏบทละครพูดที่ใช้ฉันท์ประเภทต่างๆ ในการประพันธ์ ได้แก่ วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ อินทวงส์ ๑๒ ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้และฝึกการแต่งคำประพันธ์ตามฉันทลักษณ์และหัวข้อที่กำหนด
ให้
ทำให้เข้าใจฉันทลักษณ์ต่างๆ
ของฉันท์มากขึ้น
ครุ-ลหุ
หมายถึงลักษณะของเสียงคำหรือพยางค์ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการแต่งคำประพันธ์
หมายถึงลักษณะของเสียงคำหรือพยางค์ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการแต่งคำประพันธ์
ประเภทฉันท์ เนื่องจากคำประพันธ์ประเภทฉันท์นั้นบังคับครุ ลหุ
ครุ (อ่านว่า คะ-รุ) หมายถึง เสียงหนัก เป็นคำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงยาวไม่มีตัวสะกด หรือเป็นคำหรือพยางค์ที่มีเสียงตัวสะกดทุกมาตรา (ได้แก่ แม่ กก กด กบ กง กน กม เกย และเกอว) เช่นคำว่า ฟ้า นั่ง พริก ไหม พรม นนท์ เชษฐ์
ลหุ (อ่านว่า ละ-หุ)
หมายถึง เสียงเบา เป็นคำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นและไม่มีตัวสะกด หรือเป็นคำหรือพยางค์ที่มีเสียงสระเสียงสั้นและไม่มีเสียงตัวสะกด เช่น ณ ธ บ่ ก็ พิ ผิ เจาะ เหาะ
๑. วิชชุมมาลาฉันท์ ๘
หมายถึง ฉันท์ที่เปล่งสำเนียงยาวดุจสายฟ้าแลบที่มีรัศมีแผ่ไปไกล
ฉันทลักษณ์: ฉันท์บทหนึ่งมี
๔
บาท
บาทละ
๒
วรรค
วรรคละ
๔
คำ
๒
วรรคเป็น
๘
คำ จึงเขียน ๘ หลังชื่อวิชชุมมาลาฉันท์
ตัวอย่าง อันเวทมนต์อาถรรพณ์ ที่พันผูกจิต
แห่งนางมิ่งมิตร อยู่บัดนี้นา
จงเคลื่อนคลายฤทธิ์ จากจิตกัญญา
คลายคลายอย่างช้า สวัสดีสวาหาย
๒. อินทรวิเชียรฉันท์
๑๑
หมายถึง
ฉันท์ที่มีลีลาอันรุ่งเรืองงดงามประดุจสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธของพระอินทร์
นิยมแต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญ
คณะและพยางค์ : ฉันท์บทหนึ่งมี
๒
บาท
บาทละ
๒
วรรค
วรรคต้นมี
๕
คำ
วรรคท้ายมี
๖
คำ
รวมบาท
ละ
๑๑
คำ
จึงเขียน
๑๑
ไว้ท้ายชื่อฉันท์
ตัวอย่าง ดูก่อนสุชาตา
มะทะนาวิไลศรี
ยามองค์สุเทษณ์มี วรพจน์ประการใด,
นางจงทำนูลตอบ มะธุรสธตรัสไซร้ ;
เข้าใจมิเข้าใจ ฤก็ตอบพะจีพลัน.
ยามองค์สุเทษณ์มี วรพจน์ประการใด,
นางจงทำนูลตอบ มะธุรสธตรัสไซร้ ;
เข้าใจมิเข้าใจ ฤก็ตอบพะจีพลัน.
๓. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
หมายถึง
ฉันท์ที่มีลีลางามวิจิตรประดุจรอยแต้มที่กลีบเมฆ ซึ่งปรากฏในเดือน ๕ เดือน ๖
แห่งฤดูคิมหันต์ เป็นฉันท์ที่มีความไพเราะที่สุด
นิยมแต่งพรรณนาความเศร้าโศกหรือความงดงาม
คณะและพยางค์ : ฉันท์บทหนึ่งมี ๒ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคต้นมี ๘ คำ วรรคท้ายมี ๖ คำ
รวมทั้งบาทมี ๑๔ คำ
ตัวอย่าง สุเทษณ์ ความรักละเหี่ยอุระระทด
เพราะมิอาจจะคลอเคลีย.
มัทนา ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ?
สุเทษณ์ โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนา บมิตอบพะจีพอ?
มัทนา โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อ มะทะนามิพอดี!
สุเทษณ์ เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์ มะทะนาบเปรมปรีดิ์.
มัทนา แม้ข้า บ เปรมปฺริยะฉะนี้ ผิจะโปรดก็เสียแรง.
มัทนา ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ?
สุเทษณ์ โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนา บมิตอบพะจีพอ?
มัทนา โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อ มะทะนามิพอดี!
สุเทษณ์ เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์ มะทะนาบเปรมปรีดิ์.
มัทนา แม้ข้า บ เปรมปฺริยะฉะนี้ ผิจะโปรดก็เสียแรง.
๔.
อินทวงส์ ๑๒ หมายถึง มีความหมายว่า
“ฉันท์ที่มีท่วงทำนองลีลาดุจอินทวงสเทวราช”
คณะและพยางค์ : อินทวงสฉันท์ ๑ มี ๒ บาท วรรคหน้ามีจำนวน ๕ คำ/พยางค์ และวรรคหลังมีจำนวน ๗ คำ/พยางค์
ตัวอย่าง อ้ายอดสิเนหา มะทะนาวิสุทธิศรี,
อย่าทรงพระโศกี วรพักตร์จะหม่นจะหมอง.
พี่นี้นะรักเจ้า และจะเฝ้าประคับประคอง
คู่ชิดสนิทน้อง บ่มิให้ระคางระคาย.
อย่าทรงพระโศกี วรพักตร์จะหม่นจะหมอง.
พี่นี้นะรักเจ้า และจะเฝ้าประคับประคอง
คู่ชิดสนิทน้อง บ่มิให้ระคางระคาย.